ยิ่งใหญ่มงลง เฉิดฉายแบบไม่แผ่วกับอัลบั้มเต็มชุดแรก ใครจะคาดคิดว่าเกิร์ลกรุ๊ป K-Pop วงหนึ่งจะสร้างปรากฏการณ์จนโด่งดังไปทั่วโลกได้ตั้งแต่ยังไม่มีอัลบั้มเต็มของตัวเอง แต่ BLACKPINK ประกาศพร้อมที่จะบุกตลาดเพลงระดับโลกมานับตั้งแต่วินาทีที่ Jennie แร็พเปอร์ของวงเอ่ยสโลแกนที่กลายมาเป็นวลีสุดฮิตอย่าง “BLACKPINK in your area!” ในท่อนเปิดของซิงเกิ้ลแรก “BOOMBAYAH” ในปี 2016 ซึ่งวลีนี้ไม่ใช่แค่คำบอกเล่าทั่วๆ ไป แต่เป็นการประกาศศักดาให้ทุกคนหลีกทางให้กับการมาถึงของพวกเธอ Jennie (เจนนี่ คิม), Lisa (ลลิษา มโนบาล), Rosé (พัคแชยอง) และ Jisoo (คิมจีซู) ตั้งใจเตรียมงานกันมาอย่างหนัก นับตั้งแต่วันที่พวกเธอพบกันในฐานะเด็กฝึกเมื่อปี 2011 เพื่อการเปิดตัวอัลบั้มเดบิวต์ที่ทุกคนรอคอยภายใต้ชื่อที่เหมาะเจาะอย่าง THE ALBUM นับตั้งแต่ผลงานคอลแลปส์กับศิลปินระดับ A-list (“Kiss and Make Up” กับ Dua Lipa ในปี 2018 และ “Sour Candy” กับ Lady Gaga ในปี 2020) ไปจนถึงเพลงฮิตที่ทำลายสถิติโลกอย่าง “DDU-DU DDU-DU” และ “Kill This Love” BLACKPINK ได้จับมือกับ Teddy Park โปรดิวเซอร์ดังแห่ง YG Entertainment เพื่อร่วมกันสร้างซาวด์ที่เป็นลายเซ็นของวงมากมาย ใน THE ALBUM BLACKPICK สามารถสะท้อนตัวตนของวงออกมาอย่างสมดุล ผ่านรสชาติหวานๆ สไตล์เกิร์ลครัชที่ให้สีสันแบบ “pink” ในเพลง “Ice Cream” ที่ได้ Selena Gomez มาร่วมฟีทเจอริง (และร่วมแต่งโดย Ariana Grande และ Victoria Monét) ตัดกับผลงานเมสเสจทรงพลังที่โชว์ความแกร่งในฝั่งของ “black” อย่างเพลง “Pretty Savage” ทั้ง 8 เพลงที่บรรจุอยู่ใน THE ALBUM เต็มไปด้วยความหลากหลายทางดนตรีไม่ซ้ำใครที่สาวๆ ตั้งใจทำเพื่อส่งพลังให้กับ BLINK ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น “Bet You Wanna” (ผลงานจากปลายปากกาของ Ryan Tedder แห่ง OneRepublic และ Melanie Joy Fontana และยังถือเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่าง BLACKPINK และแร็พเปอร์ชื่อดัง Cardi B) ต่อด้วย “Lovesick Girls” (เพลงแดนซ์ในกลิ่นอายแบบ Icona Pop ที่เปรียบเหมือนเสียงสะท้อนกู่ร้องความในใจของผู้หญิง) ตลอดจน “Love To Hate Me” (อาร์แอนด์บีป๊อปที่ได้แรงบันดาลใจจากเพลงยุค Y2K) และปิดท้ายด้วย “You Never Know” ที่มาเหนือความคาดหมายในรูปแบบของเพลงบัลลาดต่อต้านการตัดสินคนอื่น