หลังจากบันทึกเสียงอัลบั้ม Fearless ที่ออกมาเมื่อปี 2008 ใหม่อีกครั้ง ตามปณิธานของเธอที่ต้องการเป็นเจ้าของสิทธิ์ในผลงานเพลงของตัวเอง Taylor Swift ก็ได้ส่ง Red (Taylor’s Version) ตามมาอีกชุด ซึ่งเป็นผลงานขยายต่อจากอัลบั้มสุดฮิตของเธอเมื่อปี 2012 ที่มาพร้อมกับเพลงที่ไม่เคยปล่อยที่ไหนมาก่อนทั้งหมด 9 แทร็ค ซึ่งเธอเขียนขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกับอัลบั้มต้นฉบับ “Red เปรียบเสมือนคนอกหัก ทั้งในแง่ของดนตรีและเนื้อร้อง” Taylor เล่าในจดหมายที่เขียนถึงแฟนๆ “มันคือเศษเสี้ยวความรู้สึกต่างๆ ที่กระจัดกระจาย แต่สุดท้ายสามารถต่อติดเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ทั้งความรู้สึกสุขใจ เป็นอิสระ สับสน โดดเดี่ยว แตกสลาย เคลิ้มฝัน กล้าบ้าบิ่น และทุกข์ทรมานจากความทรงจำในอดีต ราวกับคนๆ หนึ่งที่พยายามต่อเติมชีวิตใหม่ ฉันตัดสินใจเข้าห้องอัดและทดลองซาวด์ต่างๆ กับหลายๆ คน ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะฉันทุ่มให้กับอัลบั้มนี้อย่างสุดตัว หรือเป็นเพราะฉันได้ยินเสียงของพวกคุณร้องตามไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง หรือเป็นเพียงเพราะเวลา แต่มีบางอย่างที่ได้รับการเยียวยาในระหว่างการเดินทางครั้งนี้” เพลงอกหักสุดเฟียร์สที่คุณรู้จักและชื่นชอบก็ยังคงมีอยู่แบบขาดไม่ได้ (“We Are Never Ever Getting Back Together” และ “I Knew You Were Trouble”) แต่ที่เพิ่มเติมมาคือเพลงใหม่ที่จะพาคุณอินไปกับฟีลอกหักแบบจัดหนักกว่าเดิม อย่างเช่น “Nothing New” อัลเทอร์เนทีฟร็อคที่ได้ Phoebe Bridgers มาร้องคู่กันและสื่อถึงการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลง ตามด้วยการใคร่ครวญถึงโชคชะตาใน “Message In A Bottle” เพลงป๊อปที่ให้ความรู้สึกโหยหา ซึ่งโปรดิวซ์โดย Max Martin และ Shellback และตอกย้ำชัยชนะอย่างเจ็บแสบใน “I Bet You Think About Me” ที่ฟีทเจอริ่งกับ Chris Stapleton และเขียนขึ้นมาหลังจากการเลิกราสุดฮือฮาแห่งปี 2011 เหล่าแฟนๆ ที่ติดตามมาอย่างเหนียวแน่นคงจะปลื้มกันเป็นพิเศษที่ได้เห็น "All Too Well" เวอร์ชันเต็มออกมาให้รับฟัง อีกทั้งยังครองตำแหน่งเป็นเพลงหลักประจำอัลบั้ม โดยผลงานเพลงฮิตนี้ได้รับการรังสรรค์ใหม่โดยโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง Jack Antonoff และยังคงสะท้อนความอัจฉริยะเฉพาะตัวในการเขียนเนื้อร้องของ Taylor ออกมาได้อย่างโดดเด่น เช่นท่อนหนึ่งในเพลงที่ร้องว่า “And you call me up again just to break me like a promise (เธอโทรมาหาฉันอีกครั้งเพื่อทำให้ฉันแหลกสลาย เหมือนกับคำสัญญาที่รักษาไว้ไม่ได้) / So casually cruel in the name of being honest (เหมือนจะเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมา แต่จริงๆ คือความใจร้ายแสนเลือดเย็น)” ซึ่ง Taylor พูดเสมอว่าเป็นท่อนที่เธอภูมิใจมากที่สุดในอัลบั้มและบรรดาเพลงของเธอทั้งหมดในยุคนี้ และต่อให้เวลาจะผ่านไปแล้วสิบปี ก็ยังคงบาดลึกไม่เปลี่ยนแปลง